โอม ค็อกเทล เล่าปมขัดแย้ง แสตมป์-แก๊ป ตลอด 2 ปี เคลียร์ชัด ๆ ในมุมที่รับรู้

“โอม ค็อกเทล” หรือ “ปัณฑพล ประสารราชกิจ” นักร้องชื่อดัง ล่าสุดได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้น ในมุมที่ตนรับรู้ระหว่าง “แสตมป์ อภิวัชร์” และ “แก๊ป” ซาวด์เอ็นจิเนียร์วง Tilly Birds พร้อมเหตุผลที่ออกมาเทกแอ็กชั่นช้า โดยระบุข้อความว่า
“ได้อ่านความเห็นของหลายท่านเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงขอถือโอกาสนี้สรุปข้อเท็จจริงในฐานะตัวแทนค่ายครับ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณสองปี ทางค่ายและ วงทิลลี่เบิร์ด ได้รับแจ้งจาก พี่แสตมป์ ว่ามีปัญหาระหว่างฝ่าย พี่แสตมป์ และ sound engineer ของวง
อันเนื่องมาจากประเด็นชู้สาวซึ่ง พี่แสตมป์ ได้เล่ารายละเอียดไปจนถึงต้นเหตุของความผิดใจระหว่างสองฝ่ายตามที่ทุกท่านได้ทราบตามข่าว และยังได้แจ้งต่อไปว่ามีการพบกัน วิวาท รวมถึงมีการพูดพาดพิงกันในทางเสียหาย เป็นไปได้หรือไม่ที่จะขอให้พูดคุยกับบุคคลดังกล่าว
ในเบื้องต้นผมรับเรื่องเอาไว้แต่ได้กล่าวไปว่า Engineer นั้นไม่ใช่ลูกจ้างของค่าย แต่เป็นบุคลากรของวง ทางค่ายจึงไม่มีอำนาจในการจัดการโดยตรง แต่จะสอบถามให้ และได้แจ้งไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างมาก และผมในฐานะคนกลางยังไม่สามารถออกความเห็นได้ทันทีครับ
หลังจากนั้นเมื่อได้ทำการสอบถามเรื่องราวจากฝั่ง sound engineer และแฟน จึงพบว่าเรื่องราวนั้นขัดแย้งกันอย่างมาก และทั้งสองฝ่ายมิได้มีหลักฐานที่จะอ้างอิง เรื่องราวที่กล่าวอ้างได้เลย ในเบื้องต้นจึงได้ทำการตักเตือนไปว่า ห้ามวงเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องดังกล่าว หากไม่ใช่กรณีที่
พนักงานของวงกระทำความผิดต่อหน้าที่ ที่เราสามารถลงโทษได้ เรื่องอื่นใดถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาต้องจัดการด้วยตนเอง มิให้ถือข้าง หรือตัดสินใด ๆ ไปก่อน เพราะธรรมดาเรื่องเกี่ยวข้องกับความรัก หรือปัญหาภายในครอบครัวนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน อาจมองได้หลายมุม
และที่สำคัญเป็นเรื่องภายในบ้าน หลังจากนั้นจึงทำการติดต่อ พี่แสตมป์ อีกครั้ง และแนะนำไปว่าควรนำเรื่องราวเข้าสู่กระบวนการของศาล และนำเอาพยานหลักฐานของตนเข้าต่อสู้กัน โดย พี่แสตมป์ ได้แสดงความกังวลว่าระหว่างทางคู่กรณีอาจใช้โอกาสนี้ในการ พูดหรือให้ร้ายตนและภรรยาได้
และตนไม่สบายใจจากการข่มขู่ผมจึงได้ทำการรับรองไปว่าจะกำกับและดูแลไม่ให้มีการพูดถึงกันไม่ว่าในสื่อใดและช่องทางใดในขอบเขตที่ผมมีอำนาจ ในระหว่างที่มีการพิพาทกันในชั้นศาล เนื่องจากเห็นความสำคัญว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีส่วนบุคคลไม่ควรมีผู้ใดล่วงรู้ ทั้งนี้รายละเอียดในการพิจารณาคดี
หรือการพิพาทใด ๆ หลังจากนั้นทางเราไม่ได้รับทราบอีกต่อไป หลังจากนั้นเวลาผ่านไป ไม่ได้มีการติดต่อใด ๆ จากฝั่ง พี่แสตมป์ อีก จนกระทั่ง พี่แสตมป์ ได้ติดต่อมาว่าตนได้ชนะคดีแล้วและได้รับค่าเสียหายในคดีฟ้องชู้ รวมถึงได้มีคำสั่งของศาลมิให้ทั้งสองฝ่ายพูดถึงกันในทางเสียหายอีกต่อไป
ซึ่งสิ่งนี้น่าจะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องชู้ที่ทาง พี่แสตมป์ กล่าวอ้างเป็นเรื่องจริง ขอให้แจ้งกับทาง Tilly Birds เพื่อรับทราบ เพื่อจะได้จัดการประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดีคุกคามมิได้ถูกกล่าวถึง และมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับการห้ามเข้าใกล้ เมื่อผมแจ้งให้กับทาง Tilly Birds
ความปรากฏต่อไปว่า ทาง sound engineer และแฟน ยืนยันว่า มิได้แพ้คดี แต่ยอมประนีประนอมยอมความเพียงเพื่อให้เรื่องจบ และตนมิได้เป็นชู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการพิพาทต่อไปผมจึงแจ้ง พี่แสตมป์ ว่าให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่าชนะคดี ซึ่งมีความหมายกว้างแต่ให้เลือกแจ้งคนโดยทั่วไปว่า
คดีจบลงโดยการประนีประนอมยอมความโดยฝ่ายจำเลยยอมชำระค่าเสียหาย ซึ่งมีความหมายตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายไม่สามารถนำเอาข้อดังกล่าวมาโต้แย้ง พี่แสตมป์ ได้อีก ในขณะนั้นได้ผมตระหนักว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องของการไม่ยอมรับและเป็นความเชื่อที่ทางค่าย
ไม่สมควรเข้าไปก้าวล่วง และในเมื่อมีคำสั่งศาลให้ทั้งสองฝ่ายไม่พูดถึงกันอีกต่อไป ผมจึงคิดว่าทั้งสองฝ่ายจะต่างคนต่างอยู่ และไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ได้กำชับกับ Tilly Birds อีกครั้งว่าไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ใด ๆ ทั้งสิ้น โดยทางฝ่าย sound Engineer ได้ให้คำมั่นว่า
มีความตั้งใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป ในขณะนั้นทางค่ายเกิดความสบายใจ เพราะไม่ว่าสถานะของความเป็นชู้นั้นจะจริงหรือไม่ ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไร มิได้สำคัญ เพราะต่างคนสามารถที่จะแยกย้ายไปมีชีวิตหรือทำงานในส่วนของตัวเองได้แล้ว เวลาผ่านไประยะใหญ่ ทางเราได้ยินประปรายว่า
พี่แสตมป์ มีความไม่สบายใจจากการพบเจอ sound engineer ตามงานต่าง ๆ จาก บุคลากรในสายงาน หลายท่าน โดย พี่แสตมป์ ได้บอกเล่าเรื่องราวชู้สาวของตนเองให้กับหลายท่านให้ได้ทราบ และ พี่แสตมป์ ได้ติดต่อมาผ่านผู้ใหญ่ในวงการท่านอื่นว่ามีความไม่สบายใจที่พบเจอแฟนของ
sound engineer ในงาน monster music festival ที่ในขณะนั้นมาช่วยงานที่บูธของศิลปิน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ให้บุคคลดังกล่าวเข้ามาทำงาน ผมยอมรับว่า เพิกเฉยต่อคำขอ เนื่องจากไม่สามารถใช้ความไม่สบายใจส่วนบุคคล ไปจำกัดสิทธิ์ของ Tilly Birds ในการเลือกบุคลากรที่จะมาช่วยงานได้
โดยทางเราไม่ทราบมาก่อนว่านอกจากความไม่สบายใจแล้วยังมีเรื่องพิพาทของสองฝ่ายดำเนินอยู่ ประกอบกับไม่ได้รับรายงาน หรือพยานหลักฐานใด ๆ เพิ่มเติมเลยว่ามีการพิพาทระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นภายหลัง ในเวลาต่อมาหลังจากมีการพูดของ พี่แสตมป์ บนเวทีงานคอนเสิร์ตอันเป็นประเด็นให้ถกเถียงนั้น
ข้อเท็จจริงจำนวนมากได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เข้าใจ ประเด็นบางส่วนถูกข้ามไป และบางส่วนถูกเพิ่มเติมขึ้นมา นำมาสู่ประเด็นปัญหาจนกลายเป็นข้อถกเถียงลุกลามอย่างที่ทุกท่านได้ทราบกัน จนความเสียหายลามมาถึงค่ายและ tilly birds ด้วยข้อมูลจำนวนมาก และข้อกล่าวอ้างหลายอย่างเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ
หลายข้อไม่สามารถพิสูจน์ได้ จึง เป็นการยากที่จะมีความเห็นใด ๆ จากค่าย ประเด็นเรื่องคุกคามกลายเป็นประเด็นใหม่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบพยานบุคคลทั้งบุคคลที่สาม บุคคลภายนอก และพยานแวดล้อมอื่น ๆ ค่อนข้างเห็นไปได้ว่าเป็นการพิพาทระหว่างคู่กรณีที่ไม่ถูกกันเมื่อพบเจอกันก็มีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา
ประกอบกับช่วงเวลาที่ พี่แสตมป์ กล่าวอ้างว่ามีการคุกคามในลักษณะซาแซงบนเวทีนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า พี่แสตมป์ กับแฟนของซาวด์เอ็นจิเนียร์ อาจมีพฤติกรรมคบหากันอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว พี่แสตมป์ จึงกลายเป็นพยานบุคคลที่มีน้ำหนักน้อยในเวลานั้น เป็นผลให้ทางค่ายไม่เทคแอ็คชั่นใด ๆ ในเบื้องต้น
เพราะยังไม่อาจเข้าใจเจตนาของ พี่แสตมป์ ได้เลย เรื่องทั้งหมดที่ พี่แสตมป์ พูดบนเวทีมีโอกาสจะเป็นเรื่องที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงและยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในข้อใดทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีพยานเอกสารหรือบุคคลรองรับ ต่อมาในคืนก่อนหน้าที่ทาง Sound Engineer ได้ตัดสินใจไปรายการโหนกระแส
ผมได้ปรึกษากับทาง พี่หนุ่ม ถึงทิศทางในการพูดคุยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงมากที่สุดรวมถึงการชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ในรายการ โดย พี่หนุ่ม ให้ความเห็นไว้หลายข้อ และเมื่อสถานการณ์ ณ ขณะนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสองฝั่ง โดยไม่เกี่ยวข้องกับ Tilly Birds อีกต่อไปจึงมิใช่หน้าที่ของค่าย
ที่จะต้องกำกับดูแลเนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่ใช่พนักงานของค่าย ในเวลาต่อมาเมื่อรายการดำเนินไป ในส่วนของการตอบคำถามในประเด็นข่มขู่ของตัว sound engineer นั้น แม้ว่าเจ้าตัวจะมิได้เป็นคนยื่นฟ้อง และมิได้มีส่วนในการใช้พยานหลักฐานบางประเภทซึ่งแม้จะรวมอยู่ในลักษณะพยานหลักฐาน
อันเป็นชุดที่ไม่สามารถแยกออกจากกันหรือตัดทอนได้มาต่อรองในการดำเนินคดี แต่เจ้าตัวก็ยืนยันด้วยตนเองว่าทนายฝั่งแฟนสาวของตนได้มีการหยิบเอาประเด็นนี้มาใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัวมิเคยได้กล่าวหรือชี้แจงใด ๆ ในรายละเอียดมาก่อนต่อวงหรือค่าย เท่ากับว่าเป็นการรับรองสิ่งที่ พี่แสตมป์
พูดบนเวทีในข้อนี้โดยไม่โต้แย้ง ซึ่งต่อให้อ้างว่ามิได้มีเจตนา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลให้ความสามารถในการต่อสู้คดีของ พี่แสตมป์ ในประเด็นอื่นในคดีที่พิพาทกันและคดีอื่นลดลงอย่างมากเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งในกรณีดังกล่าวทางเราทั้งหมดไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุน
ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ที่เรียนมาผมได้ถือโอกาสนี้ส่งให้ พี่แสตมป์ และ นิว รวมถึงฝั่งของ Sound Engineer และแฟนสาวรับรองในฐานะคนกลางเพื่อขจัดข้อข้องใจระหว่างสองฝ่ายรวมถึงทางค่าย และขออนุญาตเผยแพร่เพื่อขจัดปัญหาของการตีความอื่นใดของบุคคลภายนอก ขอบพระคุณ พี่แสตมป์ นิว
และทางฝั่ง Sound Engineer ที่ให้ความกรุณาด้วยครับ ขออภัยทุกท่านที่ออกมาชี้แจงช้า แต่เนื่องจากยากที่จะเขียนเรื่องนี้ให้จบถึงบทสรุปได้ในครั้งเดียวหากเรื่องนี้ไม่จบแล้วจริง ๆ หรือปรากฏพยานหลักฐานแล้วจากทุกฝ่าย เกรงว่าต่อให้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้ก็รังแต่จะสร้างข้อถกเถียงและความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นครับ ขอบพระคุณครับ”