หนุ่ม กรรชัย ถึงกับทุบโต๊ะ หลังเพิ่งรู้อาชีพเก่า อ.เบียร์ ฅนตื่นธรรม

สืบเนื่องจากรายการโหนกระแส ได้มีการกล่าวถึงประเด็น “หมอดูขโมยดวง” หลังจาก “คุณปอย” นักเขียนชื่อดัง ได้มาเล่าผ่านช่องยูทูบเดอะโกสต์ จนเป็นไวรัลร้อนแรง ทางด้านของ “หนุ่ม กรรชัย” เลยคว้าผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมเล่าประสบการณ์ รวมถึงผู้ที่มีความรู้ในด้านการดูดวง หรือ เรื่องราวความเชื่อ หนึ่งในนั้น คือ “อ.เบียร์” หรือ “ฅนตื่นธรรม”




ในช่วงหนึ่งของรายการ อ.เบียร์ ได้เปิดเผยถึงอาชีพเก่า ก่อนจะผันตัวมาเป็นดาวติ๊กต็อกว่า “ที่มาฅนตื่นธรรม เริ่มจากอาจารย์ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ แต่วันนึงเรารู้สึกว่า ชีวิตเรามีความทุกข์ มันรู้สึกว่าหาทางออกไม่เจอ หาทางแก้ไม่ได้ หลัง ๆ เลยไปดูดวง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ทำทุกอย่างที่ทำได้




จนวันนึงเราคิดว่าเราเริ่มจากเราไปเชื่อคนอื่น เรากลับมาเชื่อตนเองดีกว่า แต่เราเชื่อตัวเองก็ยังมีความเห็นผิดอยู่ ก็เลยกระโดดเข้าวงการเป็นหมอดูซะเอง กระโดดเข้าวงการหมอดูเลย เป็นหมอดูมาก่อน ก็ดูดวงมาเกือบ 7 ปี ดูมาเรื่อย ๆ ดูไปก็มีลูกศิษย์ลูกหากลุ่มเราไป




แต่บางทีรู้สึกว่าการดูดวงของเราบางทีก็แสวงหาผลประโยชน์ เพราะเป็นเรื่องรายได้ หาเงิน พอหาเงินมา เราก็รู้สึกว่า เราต้องหาวิธีความเชื่อและความทุกข์ของเขา เราอยากได้ความทุกข์ของเขามาทำคอนเทนต์ หาอะไรแก้ทุกข์แก้ดวงให้เขา แต่เจตจำนงจริง ๆ คือเราอยากได้ทรัพย์จากเขา”




ส่วนจุดพลิกผันที่ทำให้เลิกทำอาชีพดังกล่าวนั้น อ.เบียร์ เล่าว่า “ตอนหลังมาเริ่มปฏิบัติธรรม เริ่มศึกษาธรรมะ คิดว่าทางนี้ไม่น่าเป็นทางช่วยคนแล้ว เจตนาแรกช่วยคนนะ เจตนาดี แต่หลัง ๆ ไปเริ่มมีรายได้แอบแฝงแล้ว เริ่มมีผลประโยชน์ นี่แหละปัญหาที่เราเริ่มเอะใจว่าเราทำถูกต้องหรือเปล่ากับการเป็นหมอดูของเรา




ตอนแรกเรามีเจตนาดี แต่ตอนหลังเริ่มมีกลาย ๆ มีภาระหน้าที่ ก็อยากมีรายได้เพิ่มขึ้น” นอกจากนี้ยังเล่าเบื้องหลังการทำอาชีพหมอดูว่า “เรียนรู้เทคนิคจากหมอดูคนเก่า ๆ ที่เขาเป็นเพื่อนเรา อาจารย์ เขาทำยังไง ก็เริ่มจากเอาของมาขาย ไอ้คนนี้มีความเห็นผิดมา มีความทุกข์มา ต้องเอาเงินจากมันยังไง




ก็เริ่มเอาของมาขาย ต้นทุนไม่กี่บาท แล้วขายราคาแพง ๆ เพราะเขาเชื่อ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะคนนี้ต้องใช้คำว่าฉลาดน้อย คนนี้ฉลาดมาก ค่าครู แล้วแต่สมัครใจเลย แต่เราจะกำหนด ถ้าบอกว่า 100 นึง มันก็ใส่ร้อยนึงไง ถ้าเราบอกว่าแล้วแต่ศรัทธา เขาใส่ 20 บาทก็ยุ่งเลยนะ




ก็เลยต้องกำหนดกฎเกณฑ์เงินเข้าไป สมมติถ้าวันนึงจัดบายศรี ลูกเอามาสักหมื่น สักแสน เราก็ใส่เข้าไป แล้วไปบีบของ เอาเท่านี้ ๆ แล้วแต่งโต๊ะเครื่องบวงสรวงให้ดูดีหน่อย แล้วทำพิธีให้เขา เราจะได้รายได้เยอะสุดจากการทำพิธี เพราะเราคำนวณเงินจากพิธีเหล่านี้มันง่าย”