บ้าน ต้อม เรนโบว์ ท่ามกลางธรรมชาติ

ต้อม เรนโบว์ หรือ พีระพงษ์ พลชนะ นักร้องในตำนาน ที่ครองใจผู้ฟังทุกเพศทุกวัย ด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีเสื่อมคลาย
ทำให้วันนี้เขายังสนุกกับการจับไมค์ แต่การเวียนว่ายบนถนนสายดนตรีล้วนมีขึ้นมีลง วันนี้จึงชักชวนกันมานั่งลงย้อนเส้นทางแห่งวันวาน
ต้อมเผยว่าผมเป็นคนจังหวัดนครพนมครับ เรียนจบมัธยมที่นครพนม แล้วก็ไปเรียนต่อที่จังหวัดอุดรธานี คุณพ่อผมเป็นนักดนตรีอยู่แล้ว
ผมเองก็เล่นกีตาร์เป็นอยู่แล้ว แต่พ่อให้เรียนอิเล็กโทน เพราะตอนนั้นเขาบอกว่าอิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่สามารถเลี้ยงดูชีวิต
ตัวเองได้ เล่นคนเดียวหากินได้สบาย แต่สุดท้ายพอผมเรียนจบ อิเล็กโทนเริ่มไม่ค่อยจะนิยมแล้ว และเริ่มฮิตดนตรีเป็นวง เราก็อ้าว..
เห็นท่าไม่ดี จากที่เล่นอิเล็กโทนอยู่ดีๆ ก็ย้ายตัวเองกลับมาเล่นกีตาร์เหมือนเดิม แล้วก็ตั้งวงกัน ประกวดวงดนตรีที่อุดรธานี ตอนนั้นมีวงที่ สมัครแข่งขัน 100 กว่าวง วงเราได้ที่ 4 แต่เขาให้ถ้วยรางวัลแค่ 3 ตำแหน่งแรก (หัวเราะ) แต่จากตรงนั้น ก็จุดประกายงานด้านดนตรี
ให้กับผม จากนั้นผมเข้ากรุงเทพฯ ได้เล่นในคลับบาร์ญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในพัฒน์พงศ์ตอนนั้น เล่นอยู่ที่นั่นเป็นอาชีพเลย เดือนหนึ่งได้เงิน ประมาณ 7,000 กว่าบ. ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมาก เพราะเป็นคลับที่ดังมากช่วงนั้น ก็เล่นอยู่ตรงนั้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าปีที่ 3
วงอินทนิลเขาแตกวง คือตอนที่เขาออกเพลง สวรรค์เป็นใจ หลังจากนั้นก็แยกวง สมาชิกคนหนึ่งที่เป็นมือกลอง หัวหน้าวงอินทนิล
เขารู้จักกับผม เพราะเป็นคนบ้านเดียวกันคือนครพนม เขาก็มาหาผม เห็นเราเล่นกีตาร์เขาก็สนใจ เพราะกำลังจะฟอร์มวงใหม่พอดี ผมก็
โอเคตอบตกลงทำอัลบั้มกัน ก็กลายเป็นสมาชิกอินทนิล อยู่พักหนึ่ง ซึ่งผมทำอยู่ชุดเดียวนะ เป็นอัลบั้มสุดท้ายของวงอินทนิล พอเพลงอิ่มตัวปุ๊บ
ก็วางแผนว่าจะไปอยู่ต่างประเทศ เพราะภรรยาเป็นคนฝรั่งเศส ส่งบุตรไปเรียนก่อน ปีแรกไป-กลับฝรั่งเศสตลอด จากนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันที่ฝรั่งเศส
ปรากฏว่ามีงานติดต่อเข้ามา เพราะเข้าสถานทูตไทยที่ปารีส เพื่อจะไปแจ้งเกิดบุตรคนที่สอง คนไทยที่นั่นก็เห็นว่าเป็นผม ต้อม เรนโบว์ แฟนเพลง
เราทั้งนั้น เขาก็ขอเบอร์เราไว้ เผื่อเชิญมาร่วมงานต่างๆ เพราะที่นู่นเขาจะมีงานวัดเยอะ และใหญ่มาก เหมือนวัดเป็นจุดศูนย์กลางของคนไทยที่นั่น
แล้วปรากฏว่าเขาก็เรียกเราไปจริงๆ ปีแรกนี่คนล้นหลามมาก และสื่อก็มีทำข่าวและคนไทยที่อยู่ละแวกนั้นก็เห็นว่าเราอยู่ที่นั่นจริงๆ เขาก็เริ่มติดต่อ
เราไปร้องแพลง ทั้งที่ฟินแลนด์ ฮอลแลนด์ เยอรมนี ทั่วยุโรปฝั่งนั้น เรียกว่างานเข้ามาตลอด จนกระทั่งอยู่ฝรั่งเศสยาว 11 ปี และมีบุตรเพิ่มอีกคนหนึ่งรวมเป็น 3 คน