เปิดใจเจ้าของร้านหมูกระทะ หลังโดนรัฐเรียกคืน 17 ล้าน

เกิดประเด็นดราม่าจนมี #เรียกเงินคืนโครงการรัฐ ทยานพุ่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ สืบเนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายที่เข้าร่วมโครงการเยียวยาของรัฐ ได้รับหมายเรียกจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเพื่อเรียกเงินคืนเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง หลายรายโดนเรียกคืนเงินแสนหลักล้าน ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

สังคมออนไลน์ทวิตเตอร์มีการติดแฮชแท็ก #เรียกเงินคืนโครงการรัฐ จนติดเทรนด์อันดับ 1 ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกรณีที่รัฐบาลมีการเรียกเก็บเงินคืนจากเหล่าบรรดาร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งเป็นหลักแสนถึงหลักล้าน บางรายมูลค่าสูงถึง 17 ล้าน และต้องคืนเงินภายใน 30 วัน ในกรณีที่จะยืนอุทธรณ์เหลือเวลายื่นเพียง 5 วัน หรือ 15 วันหลังได้รับเอกสารเรียกเงินคืน

ล่าสุดเจ้าของร้าน ที่โดนเรียกเงินคืนไป 17 ล้านบาท ก็มาร่วมร้องเรียนด้วย เปิดเผยว่า ตนทำธุรกิจเป็นร้านขายหมูกระทะอยู่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคามมา 12 ปี มี 3 สาขา สาเหตุที่โดนคือ มีการสแกนข้ามเขตจังหวัด มีลูกค้าเป็นนักศึกษา 40,000 คนจากหลายพื้นที่ ทำให้เกิดการสแกนที่มากเกินไป มียอดเงินมากเกินไป จึงกลายเป็นจุดบอด ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า เรามีการค้าขายจริง ลูกค้าได้ของจริง ยอมรับว่ามีการจ่ายเงินผ่านแอปฯ แล้วมีการทอนเงินคืนกลับไป เพื่อให้นำเงินไปใช้อย่างอื่นได้ แต่ก็มีเงื่อนไขคือ ต้องซื้อของจากร้านเราก่อนเท่านั้น

ในส่วนของเงินที่เรียกมาถึง 17 ล้าน มันมากกว่าเงินทุนของร้านอีก ซึ่งเมื่อโดนขนาดนี้ ทางร้านต้องสู้เต็มที่ ไม่มีทางเลือกแล้ว เหลือกำไรแค่นิดหน่อย ยังไงก็ต้องสู้ ส่วนหลักฐานที่จะนำไปสู้ ยอมรับว่าไม่มี เนื่องจากตนสั่งของมาจากมหาชัย แต่ไม่ได้เก็บบิลเอาไว้ ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้

นอกจากนี้ สิ่งที่ตนโดนถือว่าไม่ยุติธรรม เพราะระเบียบที่เขียนออกมากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพราะการล็อกดาวน์ ร้านจึงต้องแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ในสัญญาก็ไม่มีการบอกว่าผิดกฎจะยึดเงินคืน และร้านตนก็ไม่มีการโกง ทุกคนได้ของจากร้านครบ